รัฐประหารเมียนมาไม่กระทบค้าชายแดน – พาณิชย์เกาะติดสถานการณ์รัฐประหารพม่า ประเมินส่งออก-การค้าชายแดนยังไม่มีผลกระทบ ด้านกระทรวงการคลังระบุยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบต่อไทย ย้ำโครงการทวายต้องเดินหน้าต่อ ด้านอมตะสั่งระงับแผนลงทุนก่อน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีการรัฐประหารในเมียนมา ว่า ได้ติดตามสถานการณ์ในเมียนมามาโดยตลอด เป็นห่วงและอยากเห็นเมียนมากลับเข้าสู่ประชาธิปไตยปกติโดยเร็ว โดยสั่งการให้สำนักงานพาณิชย์ในเมียนมารายงานสถานการณ์ให้ทราบ
ล่าสุดสถานการณ์ทางการค้ายังไม่ได้รับผลกระทบในภาพรวม โดยเฉพาะการค้าชายแดน ไม่ว่าจะเป็นที่แม่สาย เชียงราย แม่สอด จังหวัดตาก หรือที่ระนอง ก็ยังสามารถค้าขายได้ตามปกติ
“กระทรวงพาณิชย์ก็จะต้องติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิดอีกระยะหนึ่งเพราะการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะการส่งออกของไทยไปยังเมียนมาและการค้าชายแดน ซึ่งตัวเลขของปี 2563 ที่ผ่านมาถือว่าตัวเลขอยู่ในเกณฑ์ดีและได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่คาดแม้เจอสถานการณ์โควิด มีมูลค่าถึง 760,000 ล้านบาท” นายจุรินทร์กล่าว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ต้องขอติดตามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมาก่อน ยังเร็วเกินไปที่จะพูดว่ามีผลกระทบกับไทยอย่างไรบ้าง ส่วนจะกระทบแผนโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายหรือไม่ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม โครงการก็ยังต้องเดินต่อไป และกรณีที่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ถูกยกเลิกสัญญาสัมปทานทวายนั้น จะเข้าไปหารือร่วมกับบริษัทเพื่อหาแนวทางดูแลแต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะคุยเมื่อใด
นางวรรธนา มงคลศรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการ ส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM BANK เปิดเผยว่า จากการประเมินยังไม่มีลูกค้าของธสน.ได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในโครงสร้าง พื้นฐานและสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศของเมียนมา โดยในปี 2563 ไทยและเมียนมามีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 6,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามและประเมินสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมามาอย่างใกล้ชิด
ยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการตัดสินใจให้บริษัทชะลอการลงทุนในเมียนมาออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีและเอื้อต่อการลงทุนในระยะต่อไป โดยส่วนตัวเชื่อว่ารัฐบาลเมียนมาไม่น่าระงับแผนลงทุนต่างๆ เพราะเป็นการพัฒนาเพื่อนำความเจริญไปสู่เมียนมา