วันที่ 23 ส.ค. 64 หลังจากที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศแต่งตั้ง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ให้เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย ทั้งชุดใหญ่ และรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี (U-23) โดยมีภารกิจในการพาทีมเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ชิงแชมป์เอเชีย 2022 รอบคัดเลือก, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2021 หรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2021 และฟุตบอลเอเชียนคัพ 2023
ล่าสุด “มาดามแป้ง” เปิดใจผ่านเพจ “ช้างศึก” พร้อมเปิดเผยคุณสมบัติเบื้องต้นของหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนใหม่ที่จะรับช่วงต่อจาก อากิระ นิชิโนะ กุนซือชาวญี่ปุ่นที่เพิ่งถูกสมาคมฯ ยุติสัญญาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากไม่บรรลุเป้าหมายในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2
“มาดามแป้ง” เผยว่าได้ติดต่อขอคำปรึกษาจากอดีตผู้จัดการทีมชาติไทยหลายราย ทั้ง “บิ๊กหอย” ธวัชชัย สัจจกุล, “บิ๊กแป๊ะ” ถิรชัย วุฒิธรรม, “บิ๊กโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง และ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำดีๆ มากมายสำหรับการเข้ามาทำงานในบทบาทนี้ และจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ส่วนเรื่องของโค้ชที่จะเข้ามาทำทีมชาติไทยได้ปรึกษากับ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายกสมาคมฯ แล้ว ซึ่งก็ให้สิทธิ์ “มาดามแป้ง” เป็นคนเลือกผู้ฝึกสอนทั้ง 2 ชุด และด้วยเงื่อนไขด้านเวลาที่จำกัดทำให้มองว่าจะใช้โค้ชชาวไทย โดยเฉพาะทีมชุดยู-23 ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าจะใช้โค้ชไทย
ทั้งนี้ ทีมชาติไทย ยู-23 มีคิวไปแข่งที่ประเทศมองโกเลียในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้แล้ว โดยเป้าหมายคือการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มเจ คาดว่าจะมีการสรุปภายในไม่กี่วันนี้ ซึ่งก็คงต้องใช้โค้ชโปรไลเซนส์ที่ไม่ติดงานคุมสโมสรอยู่ในตอนนี้ พร้อมยืนยันว่า “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ที่เพิ่งเข้ามารับงานกับ การท่าเรือ เอฟซี จะไม่อยู่ในตัวเลือกอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ “มาดามแป้ง” ยังตอบข้อสงสัยหลังจากทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติไทยทั้ง 2 ชุด ควบคู่กับตำแหน่งประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี โดยยืนยันว่าเธออยากเห็นผลงานที่ดีที่สุด ดังนั้นการเลือกผู้เล่นก็ต้องให้ทีมงานสตาฟฟ์โค้ชเลือกคนที่ดีที่สุดเช่นกัน ถ้าใครคิดว่าจะมีแต่นักเตะจาก “สิงห์เจ้าท่า” หรือใช้ระบบลูกรัก ขอให้ตัดออกไปจากความคิดได้เลย
อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ชุดลุยฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 2 สมัย ย้ำอีกว่าต้องการทำงานกับทีมสตาฟฟ์โค้ชอย่างโปร่งใส ส่วนเรื่องการแทรกแซงการทำงานนั้น “มาดามแป้ง” บอกว่าโค้ชทุกคนที่เคยร่วมงานตั้งแต่ในทีม “ชบาแก้ว” และ การท่าเรือ รู้ดีว่าหน้าที่ผู้จัดการทีม คือ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างขวัญกำลังใจของนักเตะ สตาฟฟ์โค้ช หรือแม้กระทั่งเด็กเก็บบอล ยืนยันว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายงานของโค้ชเด็ดขาด