“ศักดิ์สยาม” สปีดโปรเจคท์ “แลนด์บริดจ์” มิ.ย.นี้ เคาะ 2 ทำเลท่าเรือใหม่ “ชุมพร-ระนอง” ดันทางเลือกขนส่งน้ำมันดิบ ผ่านท่อ-เรือ เชื่อมจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ฉลุย ชี้ได้เปรียบเป็นฮับภูมิภาค แก้ปัญหาขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา หนุนไทยขึ้นแท่นประตูขนส่งสินค้า-โลจิสติกส์
จันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 เวลา 13.45 น.
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) เมื่อวันที่ 15 มี.ค.64 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings ว่า ขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการพัฒนา 2 ท่าเรือ คือ 1.ท่าเรือระนอง และ 2.ท่าเรือชุมพร โดยพิจารณาทั้งพื้นที่โครงการฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
ทั้งนี้ การคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการพัฒนาท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านวิศวกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ คาดว่าจะสามารถสรุปผลการคัดเลือกได้ในช่วงเดือน มิ.ย.64 ก่อนที่กรมทางหลวง (ทล.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะศึกษาความเหมาะสม และออกแบบเบื้องต้น แนวเส้นทางโครงการมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟตามกรอบดำเนินการโครงการแผนแม่บทโครงข่ายทางรถไฟร่วมกับมอเตอร์เวย์ (MR MAP) เชื่อมต่อท่าเรือ 2 ฝั่งทะเลต่อไป
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า แนวทางดำเนินการแลนด์บริดจ์นั้น ต้องคำนึงถึงภาพรวมการขนส่งทางทะเลของโลก ซึ่งในปัจจุบัน การขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก ใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางหลัก โดยจากสถิติการขนส่งสินค้าประเภทน้ำมันดิบในปี 59 พบว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตจากพื้นที่เอเชียตะวันออกกลาง ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน ประมาณ 19.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน และผ่านทางช่องแคบมะละกา ประมาณ 16.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อขนส่งไปยังประเทศ แถบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่มีการนำเข้ามากกว่า 80%
ขณะที่การขนส่งสินค้าประเภทตู้คอนเทเนอร์ผ่านช่องแคบมะละกาอยู่ที่ประมาณ 24.7 ล้านตู้ต่อปี คิดเป็น 4.3% ของปริมาณสินค้าที่ขนส่งทั่วโลก ดังนั้นทำให้ท่าเรือสิงคโปร์กลายเป็นท่าเรือที่มีคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือ น้ำมันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และเป็นท่าเรือที่มีตู้สินค้าผ่านมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่งผลให้พื้นที่ภาคใต้ของไทย จึงมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค สำหรับการเป็นประตูการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทวีปต่างๆ ของโลก อีกทั้งยังมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์จากตำแหน่งที่ตั้งโครงการ ซึ่งสามารถลดเวลาและระยะทางการขนส่ง จากเดิมทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่งหลีกเลี่ยงปัญหาการติดขัดของช่องแคบมะละกา จึงมีแนวโน้มในการจูงใจผู้ประกอบการขนส่งและนักลงทุนให้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้มากขึ้น
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า จากข้อได้เปรียบดังกล่าว สนข. จึงกำหนดบทบาทโครงการแลนด์บริดจ์ “ชุมพร-ระนอง” ให้เป็นทางเลือกการขนส่งน้ำมันดิบ (Oil Bridge) โดยขนส่งน้ำมันทางเรือจากช่องแคบฮอร์มุซมายังท่าเรือระนอง และผ่านทางท่อไปยังท่าเรือชุมพร เพื่อขนส่งทางเรือไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาค รวมถึงประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงการเป็นทางเลือกในการถ่ายลำการขนส่งสินค้า ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อมต่อทางรางและทางถนน และเป็นท่าเรือสำหรับการประกอบชิ้นส่วน ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจเสรี ดึงดูดนักลงทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมหลังท่าเรือระนอง และท่าเรือชุมพร ส่งเสริมแลนด์บริดจ์ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้
สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการศึกษา ความเหมาะสม ออกแบบ เบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาแลนด์บริดจ์ มอบให้ สนข. ดำเนินการ 2.การพัฒนามอเตอร์เวย์ เชื่อมแลนด์บริดจ์มอบให้ ทล.ดำเนินการ และ 3.การพัฒนารถไฟทางคู่เชื่อมแลนด์บริดจ์ มอบให้ รฟท. ดำเนินการ
คุณเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือไม่
-
เห็นด้วย
0%
-
ไม่เห็นด้วย
0%